พัฒนาการของรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน นอกจากจะมีหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังเร่งระดับความเร็วของพัฒนาการมากขึ้นอย่างน่าสนใจอีกด้วย ผลที่ได้ก็คือ รถไฟฟ้าในทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการเล็กๆ เพื่อผลิตรถใช้สำหรับสนามกอล์ฟ หรือ ใช้เป็นการภายในอาณาบริเวณหมู่บ้านต่างๆ อีกต่อไปแล้ว

แต่ทวีความจริงจังมากขึ้นตามลำดับ ทั้งในเรื่องของความเร็ว ความสามารถในการใช้งานจริงแทนที่รถยนต์นั่งใช้น้ำมันทั่วไป และพัฒนาการในแง่ของการสิ้นเปลืองพลังงานต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
 

หลังสุด ลอร์ด พอล เดรย์สัน นักธุรกิจชาวอังกฤษ เจ้าของกิจการ เดรย์สัน เรซซิ่ง เทคโนโลยี ที่ทุ่มเทระยะเวลา 2 ปีหลังมานี้พัฒนารถแข่งที่ใช้ไฟฟ้าสำหรับใช้งานในการแข่งขันแบบจริงจังมาตลอด ประสบความสำเร็จในการจัดทำโครงการที่เรียกว่า "ฟอร์มูลา อี โปรเจ็กต์" เพื่อจัดการแข่งขันรถแข่งที่ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานขึ้น โดยจะประเดิมแข่งขันครั้งแรกในปี 2557 นี้ ภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มนักลงทุนกลุ่มใหญ่ที่รวมถึง เอ็นริเก้ บานูเอลอส มหาเศรษฐีพันล้านนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากสเปน จัดตั้งเป็นคอนซอร์เตียมขึ้นเพื่อรับผิดชอบในการแข่งขันรถ "สูตรอี" ดังกล่าว ภายใต้การรับรองของสหพันธ์ยานยนต์ระหว่างประเทศ (เอฟไอเอ) ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในการจัดแข่งรถสูตร 1 หรือ ฟอร์มูลา วัน ทั่วโลกนั่นเอง

ในปีแรกของการแข่งขันรถสูตรอี จะมีทีมเข้าร่วมในการแข่งขัน 10 ทีม และจะขยายขึ้นเป็น 15 ทีมในปี 2558 รูปแบบของการแข่งขันคร่าวๆ ก็คือ จะใช้ระยะเวลาราว 1 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 เซกเมนต์ หรือ 3 ระดับ โดยที่ข้อจำกัดของแบตเตอรี่ที่ใช้ในการแข่งขันทำให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถเปลี่ยนรถได้ในระหว่างการเข้า "พิท" ที่จะกำหนดให้มี 2 พิทในแต่ละสนามแข่ง และที่แตกต่างออกไปจากรถสูตร 1 ก็คือ ฟอร์มูลา อี ไม่จำเป็นต้องใช้สนามแข่งขันแยกต่างหากจากถนนหนทางที่มีมาตรฐานทั่วๆ ไป แต่สามารถใช้เส้นทางแข่งขันภายในเมืองแต่ละเมืองเพื่อจัดการแข่งขันได้เลย เนื่องจากเสียงของเครื่องยนต์ที่ใช้ไฟฟ้านั้นต่ำกว่ารถสูตร 1 ทั่วไปมากมาย

การจัดการแข่งขันรถฟอร์มูลาอี ถือเป็นความก้าวหน้าประการหนึ่งของแวดวงผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน ในความเห็นของ ฌ็อง ทอดท์ ประธานเอฟไอเอนั้น การแข่งขันตามเส้นทางภายในเมืองได้ จะดึงเอาแฟนกลุ่มใหม่เข้ามาติดตามกีฬา มอเตอร์สปอร์ต ชนิดนี้ ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมรถยนต์ก็หวังว่า การแข่งขันรถแข่งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจัง จะช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการของรถที่ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานรุดหน้าเร็วยิ่งขึ้น มีเทคโนโลยีหลากหลายยิ่งขึ้น เหมือนกับที่รถสูตร 1 ช่วยส่งเสริมในการพัฒนารถยนต์ทั่วไปมาแล้ว